ความเป็นมา 2

ความเป็นมา 2

* ตามล่าหาความจริงปีพ.ศ.2544-2546


เมื่อผมตัดสินใจ ที่จะเดินหน้าค้นคว้าหาความจริงเกี่ยวกับพระเครื่องของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)แล้ว สิ่งเริ่มต้นของผม ก็คือ ในวงการพระเครื่องเขายอมรับใครกันว่า เป็นระดับอาจารย์ของพวกเขา ได้รับทราบว่า มีคณะกรรมการตัดสินพระเบญจภาคีอยู่ 9คน ด้วยกัน ผมจึงเดินทางไปพบ คือ

1วิวัฒน์ เรืองพรสวัสดิ์ ไปพบที่ดิโอลด์สยาม เอาพระสมเด็จวัดระฆังปรกโพธิ์ องค์ที่พระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาทำนายทายทักว่า บ้านโยมมีสมเด็จอยู่แล้ว 2 องค์ โยมจะได้สมเด็จเข้าบ้านอีก 1 องค์ แล้วพ่อก็ได้มาและมอบให้ผม อาจารย์วิวัฒน์ยกกล้องขึ้นส่อง แล้วบอกว่าสมเด็จวัดระฆัง หลังจากนั้นขอแกะตลับออกดู พอส่องหลังพระเสร็จ บอกว่า ไม่ใช่วัดระฆัง เพื่อนของอาจารย์ที่นั่งร่วมโต๊ะเอาไปส่องบ้างบอกว่า ผมว่าใช่สมเด็จวัดระฆังนะ การได้พบกันวันนั้น ได้ความรู้จาก อาจารย์สมศักดิ์ว่า การเช่าพระก็เหมือนกับได้บัตร ATMพกไว้ เมื่อไหร่จำเป็นต้องใช้เงิน ต้องสามารถนำไปปล่อยแลกเป็นเงินสดได้

2 ประจำ อู่อรุณ ไปพบที่ปิ่นเกล้า ส่องเสร็จบอกว่า ไม่ใช่สมเด็จวัดระฆัง

3 มงคล เมฆมานะ หลังจากพบกันครั้งแรกที่ห้องทำงานของผมแล้ว ก็ไปพบที่งานประกวดพระเครื่องบ้าง อาจารย์ก็ยังยืนยันเหมือนเดิม ว่าเป็นสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ทรงปรกโพธิ์ ของอาจารย์เองก็มีอยู่ 1 องค์ แต่ไม่ได้ให้คนในวงการดูเพราะขี้เกียจทะเลาะกับเขา

4 กิติ ธรรมจรัส ไปพบที่ท่าพระจันทร์ ส่องเสร็จบอกว่าไม่ใช่ พอบอกว่า ทำไมอาจารย์มงคล เมฆมานะ บอกว่าใช่ อาจารย์กิติหรือเฮียกวงหัวเราะแล้วพูดว่า "โกเนี้ยวบอกว่าใช่ เพราะจะเอาใจผู้จัดการนะ่สิ วันหลังเจอจะถามว่าใช่จริงหรือ" วันหนึ่งเจอกันที่งานประกวดของสมาคมพระเครื่องฯ เฮียกวงถามโกเนี้ยวจริงๆ แต่โกเนี้ยวไม่พูดไม่ตอบแต่อย่างใด

5 อุดม กวัสราภรณ์ ไม่ได้ไปพบ

6 สังวร ขจรรุ่งศิลป์ ไม่ได้ไปพบ

7 สมศักดิ์ จวงสวัสดิ์ ไปพบที่บ้านประตูสีเขียว แถวถนนพระอาทิตย์ ตอนไปพบ เจอคุณตฤน โอษฐิศ นั่งอยู่ด้วย ส่องแล้วบอกไม่ใช่

8 พิศาล เตชะวิภาค หรือต้อย เมืองนนท์ บอกว่าใช่สมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ทรงปรกโพธิ์ ความจริงส่วนตัวรู้จัก ต้อย เมืองนนท์ มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น เพราะเพื่อนบ้านที่สนิทของผม เป็นเพื่อนสนิทของต้อยที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัย 

9 อนุศักดิ์ นารถกุลพัฒน์ หรืออ้า สุพรรณ บอกไม่ใช่

นอกจากนี้ ยังได้เจอเซียนท่านอื่นๆอีกหลายคน ที่บอกว่าใช่มี จั๊ว ตลาดพลู ที่บอกไม่ใช่มีเยอะหน่อย เช่น อั้ง เมืองชล ตี๋เหล้า ท่าพระจันทร์  อาจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ฯ นอกจากพบเซียนใหญ่ในวงการพระเครื่องแล้ว ยังได้หาซื้อหนังสือพระเครื่องเกี่ยวกับสมเด็จโต และพระสมเด็จ มาอ่านและศึกษาอีก แต่ก็ไม่ได้รับความกระจ่างอย่างไร ในการใช้เกณฑ์ใดพิจารณา มีแต่คำว่า ใช่หรือไม่ใช่ เก๊หรือแท้ เท่านั้น

*ตามล่าหาความจริงในช่วงปีพ.ศ.2547

 ปีพ.ศ.2547 ผมได้รับเชิญไปบรรยายทีส.ป.ก. สำนักงานการปฏืรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ในโอกาสครบรอบวันสถาปนา 29ปี ในหัวข้อ เชาวน์อารมณ์และเชาวน์ปัญญา ก่อนบรรยายผมได้บอกเพื่อนสนิทที่ทำงานอยู่ที่นั่นชื่อทองแท่ง ชูวาธิวัฒน์ว่า เมื่อจบการบรรยายขอไปวัดปรินายก เชิงสะพานผ่านฟ้า ใกล้กับสปก. เพื่อไปกราบพระอาจารย์กิตติมา วัดปรินายก เมื่อพบท่านผมได้เรียนท่านว่า "ท่านคงจำผมไม่ได้ เมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมเคยมาขอฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่จากท่าน และท่านได้เมตตาทำนายทายทักว่า ผมจะได้สมเด็จวัดระฆังเข้าบ้าน และผมก็ได้จริงๆครับ "  พร้อมกันนั้นผมก็ส่งพระให้ท่านดูและพูดต่อว่า "แต่ทำไม ไปให้เซียนดู เขาบอกว่าไม่แท้ล่ะครับ" ท่านพูดว่า "การได้พระสมเด็จมาไว้บูชา ก็นับว่าเป็นบุญเป็นวาสนาของโยม เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ภายในเดือนมีนาคมนี้ โยมจะได้พระ 3 สมัย และจะเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก ถ้าพระที่ได้นั้นเป็นพระสมเด็จทั้ง 3 องค์"

วันที่ผมไปพบท่านเป็นเดือนกุมภาพันธ์ สัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม ลูกน้องที่เคยทำงานทีสาขาสวนพลูด้วยกันมาพบ ชื่อ สุรพล ตรรกวิรุฬห์ นำพระใส่ตลับทองคำมายื่นให้ 1องค์พร้อมบอกว่า "ผมให้ผู้จัดการครับ"  "ให้ทำไม"  "ผู้จัดการเคยสอนผมว่า ให้คนดีกว่าไม่ให้นี่ครับ" เป็นพระสมเด็จปิลันทน์ วัดระฆัง พิมพ์เปลวเพลิงเล็ก ผมเอาไปประกวดได้ที่หนึ่ง

สัปดาห์ต่อมา สุรพลหรือโป้พาผมไปวัดสัมพันธวงศ์หรือวัดเกาะ มีพระรูปหนึ่งมาทำพิธีสวดมนต์ให้ จากนั้นท่านก็นำพระที่อยู่ในพานส่งมอบให้พร้อมพูดว่า "ทราบว่าเป็นผู้จัดการเลยขอมอบพระให้ 1องค์ เป็นพระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์ ผมเอาไปประกวดได้ที่หนึ่ง

สัปดาห์ต่อมา มีพนักงานธนาคารคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม พร้อมพูดว่า "ผมชอบหัวหน้าจังเลย หัวหน้าไม่ถือตัว ผมขอมอบพระให้หัวหน้าองค์หนึ่ง เก็บไว้ให้ดีนะครับ เป็นพระพิมพ์สมเด็จของหลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว แต่ออกวัดบางด้วน พ่อผมรับมากับมือ พ่อเล่าว่าตอนหลวงปู่เผือกปลุกเสกบาตรสั่นสเทือนเลย"
 คนมอบให้ทราบชื่อนามสกุลภายหลัง เพราะเป็นเจ้าหน้าที่อำนวยสินเชื่อย้ายมาจากสาขาตรอกจันทร์ ชื่ออุดมศักดฺิ์  สวาคฆพรรณ

สรุปภายในเดือนมีนาคม 2547 ผมได้พระเครื่องมาถึง 3 องค์ เป็นพระสมเด็จทั้ง 3 องค์ และเป็นพระสามสมัยจริงๆ ตามที่่ท่านพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาได้ทำนายเอาไว้ ผมจึงเดินทางไปกราบและเล่าเรืองราวพร้อมนำพระไปให้ท่านดูด้วย ท่านแสดงความยินดีด้วยพร้อมพูดขึ้นว่า "วันที่ 23 ธันวาคม ปีนี้ โยมจะได้พระสุดยอดหายากอีกองค์หนึ่ง"

เดือนพฤษภาคม 2547 ผมได้ลาออกจากธนาคารกรุงเทพจำกัด ในตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้อำนวยการสาขานครหลวง ด้านการตลาด เพื่อไปทำหน้าที่ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วันหนึ่งนายศุภกร เกิดแสง เดินเข้ามาในห้องพร้อมยื่นพระให้ผมหนึ่งองค์พร้อมเอ่ยปากว่า "ให้พี่ครับ" ผมหยิบพระขึ้นมาแล้วพูดว่า "ผมจะไปฟ้องพ่อคุณ คุณเอาพระของพ่อคุณ มาให้ผมเหรอ รู้ไหมค่าทองที่เลี่ยมนี่เป็นเงินเท่าไหร่ ยังพระหลวงปู่ทวดนี่อีก"  ศุภกรบอกว่า "ไม่ใช่พระของพ่อผมหรอกครับ เป็นพระของผมเอง ผมชอบเล่นพระเครื่องครับ ผมขอมอบให้พี่ เพราะพี่ทำให้ผมได้เป็นผู้จัดการ ครับ" ศุภกรเป็นบุตรชายของผู้จัดการภาคกลาง พี่สนั่น เกิดแสง ธนาคารกรุงเทพจำกัด พระที่มอบให้ผมคือ พระหลวงปู่ทวด รุ่นบัวรอบ ก้นลายเซ้นต์ วัดช้างให้ ที่สำคัญมากไปกว่านั้น วันที่ผมได้รับ คือวันที 23 ธันวาคม 2547 ตามที่พระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาได้ทำนายเอาไว้ ผมมานึกได้เพราะมาเห็นในบันทึกที่จดไว้ ผมจึงไปกราบและเล่าให้พระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาฟังอีก ท่านบอกว่า "ต่อไปโยมจะได้พระที่เป็นมรดกตกทอดกันมา"

 * ตามล่าหาความจริงในปีพ.ศ.2548

จากการที่ผมเข้าสู่วงการพระเครื่อง ทำให้เริ่มเรียนรู้ว่า ในวงการเขาสะสมพระเครื่องโดยแบ่งเป็นประเภทต่างๆคือ 1 เบญจภาคี 2 กริ่ง 3 ดิน 4 ชิน 5 ผง 6 เหรียญ 7 ว่าน 8 ปิดตา 9 รูปเหมือน ช่วงนั้นสนใจพระกริ่งของหลวงพ่อโอภาสี มีคนชื่อมดแนะนำให้ไปเช่ากับพระครูประกอบ วัดราชบพิธฯ เมื่อไปถึงได้สนทนากันเป็นที่ถูกชะตา เพราะอาจารย์ของท่านกับอาจารย์ของผม องค์เดียวกัน คือพระอาจารย์หลวงพ่อพุทธ ฐานิโย วัดป่าสาละวัน นครราชสีมา พระครูประกอบเล่าให้ฟังว่า "อาตมาเป็นคนพิษณุโลก บวชตั้งแต่เป็นเณร สมเด็จพระสังฆราช (วาส) เป็นอุปัชฌาจารย์ และก็เป็นพระลูกศิษย์คอยอุปัฏฐากรับใช้สมเด็จพระสังฆราชโดยใกล้ชิดตลอดมา"  "อยู่มาวันหนึ่งท่านมีความอยากได้พระสมเด็จฯ จึงไปกราบเรียนสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จฯบอกว่า "ถ้าอยากได้ ให้นั่งสมาธิและท่านจะช่วยเรียกให้" หลังจากนั้นไม่นานท่านก็ได้พบกับ อมาตยกุล ซึ่งมีความผูกพันธ์กับสมเด็จพระสังฆราชมาตั้งแต่สมัยคุณแม่ ได้นำพระสมเด็จมาให้ท่านเป็นจำนวนมาก บอกว่าเป็นพระมรดกของตระกูลอมาตยกุล จากนั้นพระครูประกอบก็นำพระสมเด็จมาให้ผมชม ผมก็นำพระสมเด็จปรกโพธิ์ของผมให้ท่านชมเหมือนกัน พร้อมเล่าถึงเรื่องราวของการได้มาและที่ให้เซียนพิจารณาแล้วบอกว่าใช่บ้างไม่ใช่บ้าง หลังจากนั้นผมก็ได้กลับไปหาท่านอีกครั้ง ท่านก็นำพระสมเด็จมาให้ชมอีก แต่ครั้งนี้ผมไม่มีเวลาเพียงผ่านมาก็แวะพบเท่านั้น จึงบอกท่านว่าวันหลังจะมาดู วันนี้ไม่มีเวลา ท่านก็นำพระทั้งกล่องประมาณ8-9องค์ยื่นให้ผม บอกเอาไปดูที่บ้านแล้วกัน 

ผมนำกลับมาบ้านแล้วนั่งพิจารณา เป็นสมเด็จปรกโพธิ์ 4องค์ แต่คนละพิมพ์กับของผม เป็นสมเด็จเนื้อสีเหลือง 2 องค์ อีก 2 องค์เป็นสมเด็จพิมพ์ทรงดูโบราณน่าจะเป็นช่างชาวบ้านแกะแม่พิมพ์ ผมก็มาคิดว่าควรจะนำพระแบบนี้ไปให้เซียนคนไหนดู ก็นึกถึงผู้ชำนาญการ ผู้อำนวยการสถาบันโบราณศิลป์-ท่านผอ.อรรถภูมิ บุณยเกียรติ เจ้าของนิตยสารพระเครือง ที่น่าจะมีมุมมองการพิจารณาที่แตกต่างก้าวหน้ากว่าเซียนคนอื่นๆในวงการ จึงไปหาและให้ดู ผอ.ฯดูแล้วบอกว่า "ชอบองค์เนื้อสีเหลืองมากๆ น่าจะมีคุณค่ามากๆ น่าใช้น่าแขวน"สำหรับปรกโพธิ์ 4 องค์นั้น บอกน่าสนใจอยู่องค์เดียว ทั้งที่พิมพ์เดียวกันบล๊อคเดียวกัน โดยไม่ได้ให้เหตุผลอธิบายอะไรเพิ่มเติม ผมก็นำพระชุดเหล่านั้นกลับไปคืนพระครูฯและเล่าให้ฟังว่า "เซียนเขาบอกว่าแท้นะองค์นั้นองค์นี้" พระครูบอกผมว่า "โยมรู้ไหม โยมเป็นคนแรกที่ดูพระของอาตมาแล้วไม่แสดงอาการใดๆ คนอื่นบางคนดูแล้วมือสั่นอยากได้ ของโยมเอาไปดูแล้วยังกลับมาคืนให้ พร้อมบอกด้วยว่าแท้มีองค์ไหนบ้าง อย่างนั้นเอาไปดูอีก" พระครูขนพระสมเด็จให้ผมเป็นร้อยองค์ ผมตระเวณไปพบเซียนในวงการแทบจะทุกซุ้มในกทม. ปรากฎว่าถูกปฏิเสธทั้งหมดทุกองค์ว่า ไม่ใช่พระของสมเด็จโต แล้วที่ท่านพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาทำนายว่าจะได้รับพระมรดกตกทอดก็จริงแต่ท่านก็ไม่ได้บอกว่าเป็นพระสมเด็จหรือไม่

***ตามล่าหาความจริงในปีพ.ศ.2549


 ผมยังไปกราบพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมา ท่านทำนายอีกว่า "พระองค์ต่อไปที่โยมจะได้ จะมีคนนำมาให้ถึงที่ " ช่วงนั้นผมไปพูดคุยกับผอ.อรรถภูมิ  อยู่บ่อยครั้ง จนเมื่อมีการจัดบรรยายเกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆัง ผมก็ได้รับเชิญไปร่วมสัมมนาอยู่ด้วยเสมอ บางครั้งผมก็แสดงความคิดเห็นบ้าง มีอยู่ท่านหนึ่งเป็นผู้บริหารระดับชั้น vice president ธนาคารนครหลวงไทย ชื่อ คุณทวีศักดฺ์ ได้โทรหาผมและนัดกินข้าวกลางวันที่โรงแรมฟลอริด้า สี่แยกพญาไท เพราะชอบใจในสิ่งที่ผมพูดในการสัมมนาฯ  วันที่เจอกัน คุณทวีศักดิ์นำพระสมเด็จของหลวงตาจันทร์ วัดโฉลกหล่ำ เกาะพงัน สุราษฎร์ธาน๊มามอบให้ผม 1 องค์และอีกองค์เป็นสมเด็จวัดโพธิ์เกรียบ อยุธยา ผมได้โทรไปหาเจ้าอาวาส วัดโฉลกหล่ำ จากการสนทนาทราบว่าท่านเป็นหลานหลวงตาจัทร์ ซึ่งมรณภาพไปหลายปีแล้ว ท่านเล่าให้ฟังว่า "สมัยหนุ่มๆ ท่านมาบวชกับหลวงตาจันทร์ ท่านชอบอ่านหนังสือ แต่ไม่ชอบปฏิบัติสมาธิ ถูกหลวงตาฯเอ็ดอยู่บ่อยๆ ว่าอ่านเข้าไปเหอะ เดี๋ยวคงเหาะได้ ให้ทำสมาธิก็ไม่ทำ ท่านยังเล่าอีกว่า หลวงตาจันทร์จะเขียนและลบผง โดยแขวนผ้าจีวรไว้ใต้ฝ้าติดกับหลังคา เมื่อลบผงแล้วจะไปปรากฏอยู่บนจีวร ผมแกล้งถามท่านว่า ทำไมต้องเอาไปเทบนจีวรละ่ครับ ท่านบอกไม่ได้เอาไปเท พอลบแล้วผงไปอยู่บนจีวรทันที นอกจากนี้มีขวดโหลไว้สำหรับใส่เปลือกกล้วยหอมที่หลวงตาฯฉันแล้วเก็บไว้เพื่อผสมทำพระเครื่องอีกด้วย

หลังจากกินข้าวกลางวันกับคุณทวีศักดิ์ ก็กลับเข้าธนาคาร มีน้องชายของลูกค้าชื่อเบิร์ด มานั่งรออยู่ โดยที่เมื่อ 3 วันก่อน พี่สาวเบิร์ดชื่อ อ้อยได้มาติดต่อเพื่อขอกู้เงินวงเงิน 40 ล้านบาท ผมฟังเรื่องราวจบ ก็บอกว่าจะช่วย แต่ให้เบิร์ดรับปากผมหนึ่งเรื่อง คือให้นั่งสมาธิวันละครึ่งชั่วโมง เบิร์ดได้ยินแล้วร้องเสียงหลงว่า ทำไม่ได้หรอก ผมบอกถ้าอย่างนั้นก็ไม่ช่วย เบิร์ดก็เลยรับปากผม ซึ่งปกติผมก็ไม่เคยพูดกับใครแบบนี้ แต่เห็นโหงวเฮ้งของเบิร์ดแล้ว รู้สึกในใจว่ามีแววพุทธะอยู่บนใบหน้าของเขา จึงได้พูดออกไปในวันนั้น เบิร์ดได้เริ่มการสนทนาว่า  "เห็นในห้องของคุณอา แขวนภาพสมเด็จโต แสดงว่าคุณอาเคารพสมเด็จโต ผมอยากจะบอกว่า ผมสวดชินบัญชรได้ตั้งแต่จำความได้ เพราะคุณแม่ผมสวดมนต์วันละ 5ครั้ง คุณแม่ผมเป็นคนสุพรรณสวยมาก เลยถูกพ่อผมเป็นพ่อค้าน้ำตาลหรือหยง อยู่เยาวราชฉุดมา คุณแม่อ่านหนังสือไม่ออก แต่อธิษฐานขอให้สวดมนต์ได้ บางครั้งแม่สวดอยู่เสียงแม่จะเปลี่ยนไป ผมถามแม่ๆบอกว่าเป็นเสียงของปู่โต พ่อผมไม่สบายเดินไม่ได้ มีคนถามว่าทำไมไม่ให้เมียรักษา เมียยังรักษาคนอื่นหายเลย พ่อบอกว่า เรื่องอะไร ต้องไปก้มกราบเมีย ต่อมา ตาของพ่อเริ่มมองไม่เห้น พ่อเลยยอมก้มกราบแม่ ตอนนี้พ่อหายดีแล้ว พ่อมีประวัติการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลพญาไท แต่แม่ผมตายแล้ว ก่อนตายแม่ยังรู้วันตายล่วงหน้าด้วย" เมื่อได้ฟังดังนั้นผมจึงถามไปว่า มีการอัดเสียงสวดชินบัญชร ตอนสมเด็จโตมาหรือไม่ เบิร์ดบอกว่ามีและโทรพูดคุยกับพี่สาว-พี่อ้อย ได้ยินเสียงลอดออกมาจากโทรว่า "แกไปเล่าให้อาอมรเขาฟังทำไม เดี๋ยวเขาก็หาว่าบ้านเราบ้านะสิ" ผมจึงบอกว่าให้อัดเสียงมาให้ผมฟังด้วย

จากนั้นเบิร์ดก็พูดต่อว่า "พอผมเริ่มหนุ่ม ก็อยากได้พระสมเด็จ เวลาแม่สวดมนต์อยู่แล้วเสียงแม่เปลี่ยนไป ผมจะรีบวิ่งไปคุยกับปู่โต ปู่โตบอกให้สวดมนต์ชินบัญชรแล้วจะได้เอง ผมก็สวดมาเรื่อยๆ อยู่มาวันหนึ่งผมได้พบกับอาของผมชื่อ อาศิวะๆ เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งผ่านไปวัดกุฎีทองอยุธยา เห็นว่าวัดไม่มีกำแพงรั้ว จึงได้เข้าไปกราบเจ้าอาวาส และแสดงความตั้งใจที่จะทำบุญโดยสร้างกำแพงรั้วถวายวัด เจ้าอาวาสก็จะนำชื่อของอาศิวะ ขึ้นบนกำแพงรั้ว อาศิวะบอก ทำบุญเพื่อหวังเอาบุญ ไม่หวังเอาชื่อ เจ้าอาวาสก็เลยให้ดินมาก้อนหนึ่งและบอกว่า มีพระสมเด็จอยู่ในดินก้อนนั้น อาศิวะเมื่อสวดมนต์และนั่งสมาธิที่บ้านแล้ว ก็เอาไม้ค่อยๆเขี่ยดินออกทีละน้อย จนพบพระสมเด็จในดินก้อนนั้นรวม๘องค์ และอาศิวะก็มอบให้ผมมา วันนั้นผมอาบน้ำอยู่ ได้ยินแม่ผมสวดมนต์แล้วเสียงแม่เปลี่ยนไป ผมรีบวิ่งออกมาและนำพระสมเด็จที่ได้รับจากอาศิวะให้ปู่โตดู ดูท่านดีใจมากและพูดว่า ทำกับมือๆ แต่ทำไมผมไปให้เซียนพระดู เขาบอกว่าไม่ใช่ละ่ครับ"

จากนั้นเบิร์ดก็ส่งพระสมเด็จวัดกูฎีทองพร้อมพูดว่า "ผมให้อาครับ" ผมบอกว่า " เฮ้ย อารับไว้ไม่ได้หรอก พระแบบนี้เป็นพระของเบิร์ด เบิร์ดต้องเก็บเอาไว้บูชา" "อาครับ ที่เบิร์ดให้อา เพราะวันที่พบกับอา แล้วเบิร์ดกลับไปนั่งสมาธิ เบิร์ดได้เห็นพระพุทธเจ้า จึงคิดว่าอาเหมาะที่ได้พระองค์นี้ครับ นอกจากนี้เบิร์ดยังหนุ่ม ไม่ค่อยกล้าแขวนพระ ใช้แต่เครื่องรางครับ" จากนั้นก็นำเครื่องรางออกมาให้ชม

ผมรับพระสมเด็จวัดกุฎีทองไว้ แล้วนึกย้อนหลังไปก่อนปีพ.ศ.2529 ผมนั่งคุยกับพี่ธวัชชัย หัวหน้าส่วนโอนเงิน ที่สำนักงานใหญ่สีลม ชั้น8 ที่ห้องอาหารของธนาคารตอนเช้า พี่ธว้ชชัยชอบเล่นพระเครื่อง ผมบอกว่า อยากได้พระสีวลีสักองค์ พี่ถามว่า ทำไมถึงอยากได้ ผมบอกว่า ก็ผมอยากรวยนะ่สิ วันรุ่งขึ้นพี่ฯก็นำพระสิวลีมาให้ผม พร้อมบอกว่า เก็บรักษาให้ดีนะ เพราะเป็นพระที่สมเด็จโตสร้างไว้ที่วัดกุฎีทอง พวกการบินไทยไปทำบุญที่วัดนี้จึงได้มา ผมก็นำไปทำตลับใส่ขึ้นคอ ต่อมาประมาณปีพ.ศ.2540 น้องสาวผมชื่อป้อมบอกว่าอยากได้พระสีวลี ผมนึกถึงพี่ธวัชชัยจึงไปหาและเอ่ยปากขอพระสีวลีจากพี่ จากนั้นพี่ฯก็นำพระสีวลีมาให้ผมพร้อมพูดว่า "องค์แรก อมรให้น้องสาวไป เอาองค์นี้ไว้ใช้แทน เพราะองค์นี้พี่ได้มาจากเพื่อนเป็นข้าราชการอยู่กรมศิลปากร ตอนวัดกุฎีทองกรุแตก มันได้ไปตรวจและได้มา"

เมื่อผมได้พระสีวลีวัดกุฎีทองมาแล้ว 2องค์ จึงคิดที่จะไปเที่ยวที่วัดกูฎีทอง จึงได้เดินทางไป เมื่อไปถึงหน้าวัด จะมีคลองขวางกั้นอยู่และมีสะพานเดินข้ามจากฝั่งนี้ไปยังวัด ผมแวะกินน้ำที่มีรถเข็นมาจอดขาย ได้พูดคุยกับแม่ค้าถึงเรื่องกรุวัดกุฎีทองแตก แม่ค้าพูดว่า ถ้าอยากรู้เรื่องจะไปตามพี่ชายมาคุยด้วย ยังไม่ทันห้ามแม่ค้าก็วิ่งออกไปแล้ว สักครู่พี่ชายก็เข้ามาคุยด้วย ผมก็ส่งพระสีวลีให้ดูทั้ง 2องค์ พี่ชายก็เริ่มเล่าว่า "พระสีวลีองค์แรก เป็นพระที่พวกผมหรือชาวบ้านแถวนี้รอบวัดทำปลอมขึ้นมาเอง ส่วนพระสีวลีองค์ที่ 2 เนื้อนี้ไม่ใช่ที่ทำปลอม ไม่เคยเห็น" พี่ชายบอกให้รอเดี๋ยวพร้อมเดินข้ามฝั่งไปแล้วกลับมาเล่าว่า "สมัยนั้น คนกรุงเทพแห่กันมาที่วัดกุฎีทองมากมาย เพื่อมาหาเช่าพระ ที่มีข่าวว่ากรุแตก ชาวบ้านรอบวัดเลยทำปลอมเพื่อปล่อยให้เช่า" พร้อมยื่นพระหลวงพ่อโตให้ผมหนึ่งองค์และบอกว่า "นี่ก็ปลอม สมัยก่อนเช่าหากันองค์ละ 3,000 บาท แต่ให้คุณฟรี" พร้อมพูดย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าที่ให้ของปลอมนะ มีผู้ชายอีกคนหนึ่งโผล่เข้ามาสนทนาด้วย พร้อมพูดทำนองสั่งสอนว่าพระเครื่องไม่น่าสนใจเท่ากับพระธรรม หลังจากนั้นพาผมข้ามสะพานไปฝั่งวัด  บ้านของเขาอยู่ทางด้านซ้ายของสะพานเอาแผ่นซีดีพระไตรปฺิฎกให้ผมหนึ่งแผ่น มีคุณยายท่านหนึ่งนอนอยู่ด้วยความชราภาพ แต่ยังพูดคุยเกี่ยวกัธรรมได้เป็นอย่างดี ผมจากวัดกุฎีทองมาด้วยความรู้สึกงงๆ แล้วเล่าให้พี่ธวัชชัยที่ให้พระสีวลีมาได้ฟัง พี่ก็บอกว่าองค์ที่สองที่ให้มา ได้เป็นองค์แรกจากเพื่อนที่เป็นข้าราชการกรมศิลปากร องค์แรกที่ให้ ได้มาจากพวกการบินไทยที่เล่นพระเครื่องไปพบกรุแตกที่วัดฯ

ผมได้ไปกราบพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาพร้อมนำพระที่ได้มาตามคำทำนายของท่านคือ พระสมเด็จหลวงตาจันทร์ วัดโฉลกหล่ำ พระสมเด็จ วัดโพธิ์เกียบและพระสมเด็จ วัดกุฎีทอง ที่มีคนเอามาให้ถึงที่ทำงาน ตามที่ท่านทำนายไว้ หลังจากท่านชมแล้ว ท่านกล่าวขึ้นว่า "ภายในเดือนกันยายนนี้ โยมอมรจะได้พระอีก 2องค์ องค์แรกจะเป็นพระทรงสี่เหลี่ยมนาคปรก ทำจากวัสดุที่เก่าแก่มากๆ องค์ที่สองจะเป็นพระยืน" เหลือเชื่อจริงๆ เดือนกันยายน เบิร์ดได้มาหาพร้อมยื่นพระให้ 1องค์บอกว่า" พระองค์นี้ได้มาจากเจ้าคุณธงชัย วัดไตรมิตร เจ้าคุณทราบว่า ที่เขาสามร้อยยอดมีหินสะท้านฟ้าพันปี จึงให้ทหารไปนำมาและให้แกะเป็นพระรูปนาคปรก ตอนนำมายังมีบุคคลระดับสูงของประเทศไปกราบที่วัดเลย ผมให้อาครับ" จากนั้นประมาณ 7วัน ลูกน้องชื่อชวลิต นำพระมามอบให้หนึ่งองค์ โดยพูดว่า "ผมกลับไปบ้านของผม เลยไปเช่าพระหลวงพ่อวัดบ้านแหลมมาให้หัวหน้าองค์หนึ่งครับ "เป็นพระปางยืนอุ้มบาตร สรุปแล้วพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาทำนายถูกอีกแล้ว

ในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2549 ผมได้รับเชิญจากสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย ให้ไปบรรยายต่อเซียนพระทั่วประเทศ ประกอบด้วย กลุ่มชมรมพระเครื่องมรดกไทย 18คน กลุ่มท่าพระจันทร์ 14คน กลุ่มชมรมพระเครื่องมณเฑียร 6คน กลุ่มภาคกลางเขต1 2คน กลุ่มภาคกลางเขต2 3คน กลุ่มภาคกลางเขต6 2คน กลุ่มภาคใต้เขต1 14คน กลุ่มภาคใต้เขต2 13คน กลุ่มภาคใต้เขต3 2คน กลุ่มภาคตะวันออกเขต1 3คน กลุ่มภาคตะวันออกเขต2 5คน กลุ่มภาคตะวันออกเขต4 5คน กลุ่มภาคเหนือเขต1 7คน กลุ่มภาคเหนือเขต2 10คนกลุ่มภาคเหนือเขต3 11คน กลุ่มภาคอีสานเขต1 9คน กลุ่มภาคอีสานเขต2 11คน กลุ่มภาคอีสานเขต3 5คน กลุ่มภาคอีสานเขต4 12คน กลุ่มอีสานเขต5 11คน รวมทั้งสิ้น 163คน ณ โรงแรมริชมอนด์


 ในหัวข้อ วงการพระกับอาจารย์ที่ปรึกษา เวลา10.30น-12.00น.ในหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง การจัดการศึกษาทางไกล หลักสูตรการศึกษาพระเครื่องขั้นพื้นฐาน โดยความร่วมมือระหว่าง สมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทยและสถาบันการศึกษาทางไกล สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงนามแต่งตั้งให้เซียนทั่วประเทศที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯได้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของหลักสูตร ในฐานะของผู้รู้หรือผู้เชียวชาญในด้านพระเครื่อง  เพื่อให้เซียนหรือผู้รู้ ที่ได้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาได้รู้จัก สถาบันการศึกษาทางไกล มีความเข้าใจเกี่ยวกับ หลักการจัดการศึกษาทางไกล หลักสูตร กระบวนการเรียนการสอน การวัดผลประเมินผลโดยสรูป รวมทั้งบทบาทหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษา สามารถปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วัตถุประสงค์ในการเชิญผมไปบรรยาย เพื่อให้เซียนหรือผู้รู้หรือผู้ชำนาญการ ได้รู้ถึงบทบาทหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษา สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังการบรรยายจบลง ต้อย เมืองนนท์ ได้เข้ามาพูดคุยกับผมว่า "พี่มอนบรรยายได้ยอดเยี่ยมจริงๆ ปกติพวกผมนั่งฟังคนบรรยายไม่เกิน 15นาที ก็ลุกขึ้นไม่ฟังกันแล้ว เพราะแต่ละคนความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก นี่นั่งฟังพี่พูดเกือบสองชั่วโมง โดยไม่ลุกไปไหนเลย ถือว่าพี่แน่มาก สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการของพวกผม"

ต่อมาในวันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม 2549 ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมเดอะริช เชิงสะพานพระราม 5 ผมได้รับเชิญจากผู้อำนวยการสถาบันโบราณศิลป์ และนิตยสารเปิดราคา (อรรถภูมิ บุณยเกียรติ) ไปบรรยายหัวข้อ "ส่องพระหาอะไร" ในงาน THANK YOU PARTY เนื้อหาการบรรยาย มีดังนี้

ผมได้ยินแม่ของผม พูดกับพ่อว่า ไม่รู้ว่าส่องพระหาหอกอะไร ส่องได้ทั้งวัน จนต่อมาถึงได้รู้ว่า ส่องหาความงามของพุทธศิลป์ เขาเรียกกันว่า "งามนอก" ต่อมาส่องเพื่อหา "งามใน" คือ พุทธคุณ ที่เขาห้อยพระกันหลายองค์ เพราะองค์ที่หนึ่ง มีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม แต่ที่ห้อยองค์ที่สอง เพราะเผื่อเขาไม่เมตตา ต้องห้อยมหาอุด เผื่อเขามายิงจะได้ไม่ออก องค์ที่ 3 แคล้วคลาด เผื่ออุดไม่อยู่ ยิงออกแต่ไม่ถูก องค์ที่ 4 คงกระพัน ถึงยิงถูกแต่ไม่เข้า องค์ที่ 5 ชาตรี นอกจากไม่เข้าแล้วยังไม่เจ็บอีกด้วย ต่อไป "งามพระรอม" หรือ งอมพระราม คือชักหน้าไม่ถึงหลัง รายได้ไม่พอกับรายจ่าย ลูกมาขอเงินค่าเล่าเรียน มีเงินไม่พอ ต้องนิมนต์หลวงพ่อไปอยู่กับคนอื่น พอเอาหลวงพ่อไปปล่อยออก ปรากฎ "งามหน้า" เขาไม่รับซื้อบอกว่า "ปลอมครับ" นี่คือการส่องพระ เราต้องศึกษาถึงพระสงฆ์องค์ที่ปลุกเสกว่ามีจรืยาวัตรข้อปฏิบัติอย่างไร ศึกษาปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนหรือไม่อย่างไร ถ้าปฏิบัติตามพระธรรม ก็ต้องดูว่าเป็นพระธรรมคำสั่งสอนของใคร ถ้าของพระพุทธเจ้า ก็ถือว่า เราส่องพระถึง พระรัตนตรัย

เมื่อผมบรรยายจบลง ได้รับรางวัลการบรรยายจากผู้อำนวยการ-อรรถภูมิ บุณยเกียรติ เป็นกล้องส่องพระเลี่ยมทองคำ จารึกคำว่า สถาบันโบราณศิลป์ นอกจากนีัผู้อำนวยการโรงเรียนสอนคนตาบอด ซึ่งมาร่วมงานในฐานะแขกรับเชิญ เพื่อมารับเงินบริจาค ได้ลุกเดินเข้ามาหาผม มอบใบโพธิ์ที่ท่านได้เดินทางไปและได้มาจากพุทธคยา ประเทศอินเดีย อีกทั้งรูปเหมือนหลวงปู่บุญยฤทธิ์ให้ผมและกล่าวว่า "ไม่คาดคิดเลยว่าคนในวงการพระเครื่อง จะพูดได้มีสาระถึงเพียงนี้"




****ตามล่าหาความจริงปีพ.ศ.2550

ผมได้ไปกราบพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมา คณะ2 วัดปรินายก เหมือนเดิม ครั้งนี้ท่านถามผมว่า "พระร่วง มีหรือยัง องค์ต่อไปที่จะได้คือพระร่วง" ผมดีใจมากเพราะกำลังแสวงหาอยากได้อยู่พอดี คิดว่าจะได้จากไหนนะ

จากนั้นได้รับหนังสือลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2550 จากผู้อำนวยการสถานศึกษาสถาบันการศึกษาทางไกล (นายบุญส่ง คูวรากุล) เรื่อง ขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาเสริมประสบการณ์การเรียนรู้หลักสูตรการศึกษาพระเครื่องขั้นพื้นฐาน ในวันเสาร์ 17-อาทิตย์ 18 มีนาคม 2550 ณ ห้องปิ่นเกล้า 2 โรงแรมรอยัลซิตี้ ถ.บรมราชชนนี กทม. ผมได้ขึ้นบรรยายกับเซียนรัก ศรีเกตุ พอการบรรยายจบลง ต้อย เมืองนนท์พูดกับผมว่า "ฟังพี่พูดแล้วชอบใจจังเลย พี่กรุณาไปหาผมที่บางลำพูงามวงศ์วานหน่อยนะครับ ผมมีของจะมอบให้พี่" เมื่อผมไปหา ต้อยเมืองนนท์ มอบพระเลี่ยมทองให้ผมหนึ่งองค์พร้อมพูดว่า "นี่คือพระร่วง กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ลพบุรี เนื้อสัมฤทธิ์สนิมเขียว หายากมากครับ" 



ปีพ.ศ.2550 มีลูกค้าชื่อไก่มาพบและพูดว่า "พี่หน้าตาเหมือนแม่ชีองค์หนึ่งอยู่ที่สะเมิง เชียงใหม่ อยากให้พี่ได้พบและสนทนาด้วย" เลยได้เดินทางไปพบและได้สนทนากัน แม่ชีได้ดูพระสมเด็จวัดกุฎีทองแล้วพูดว่า "องค์นี้สมเด็จโต ท่านทำกับมือของท่านเอง เก็บไว้ให้ดี" ฟังแล้วรู้สึกภูมิใจที่เหมือนเบิร์ดเล่าว่าสมเด็จโตบอกว่า "ทำกับมือๆ" หลังจากนั้นก็กลับมาทำงานตามปกติ วันหนึ่งมีผู้ชายมายืนหน้าห้องแล้วถามว่าจำเขาได้ไหม บอกนึกไม่ออก เขาจึงรื้อฟื้นความหลังว่า "เรียนอยู่อำนวยศิลป์และไปเรียนพิเศษที่โรงเรียนอัคนีบัณฑิต บางกระบือด้วยกัน ตอนอยู่ชั้นมศ.3" เลยนึกออกเขาชื่อ นพพร ปิ่นมณี ชื่อเล่นชื่อน้อย เขาบอกมาหาเพราะเขารู้ว่ามีพระสมเด็จวัดกุฎีทอง เลยจะมาเล่าความจริงเกี่ยวกับกรุวัดกูฎีทองแตกให้ฟัง

 เขาเล่าว่า ประมาณปีพ.ศ.2516 ได้ไปเรียนวิชาดูโหงวเฮ้งจากอาจารย์จำเนียร บัวสุวรรณ อาชีพขายของอยู่ที่ตลาดวัดบัวขวัญ อยู่มาวันหนึ่งอ.จำเนียรหรือเตี่ยจำเนียรเล่าให้ฟังว่า "เมื่อคืนฝันเห็นสมเด็จโต มายืนอยู่ที่หัวและบอกให้ไปวัดกุฎีทองอยุธยา มีกรุพระอยู่ให้นำขึ้นมา แล้วนำไปปล่อยให้เช่าบูชา เพื่อนำเงินมาปฏิสังขรณ์วัด" เตี่ยจำเนียรและนพพรได้ไปตามหาวัดกุฎีทอง แต่ไม่มีคนรู้จัก จนกระทั่งการตามครั้งที่2 ได้พบสามล้อบอกทางให้ จึงได้พบวัดฯและได้พบพระศรีสรรเพชญ์ มีรอยดำทั้งองค์ สืบเนื่องจากพม่าเผาคราวเสียกรุงครั้งที่2 อุโบสถไม่มีแล้ว ได้พบหลวงตาหนมกับพระอีกองค์ตาบอดอยู่ที่วัดไม่ทราบเรื่องราวอะไร ขณะนั้นเป็นวัดร้าง ป่ารก ต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด ครั้งแรกเขาได้เจอแผ่นหินหลังพระประธาน รู้สึกว่าน่าจะเปิดเข้าไปได้แต่เกรงว่าคนจะรู้กันมาก จึงบอกกลางคืนค่อยกลับมาใหม่ คืนนั้นเกือบ5ทุ่ม ไปกัน6คนมีหลวงตาหนม มรรคทายกวัด-ทิดนง
เด็กวัดอีก2คน เตี่ยจำเนียรและนพพร ไปแงะแผ่นหิน มองเผินๆไม่รู้
 มาถึงก็งัดแผ่นหินออก มีกลิ่นอับโชยออกมา ต้องนั่งรอเป็นชั่วโมงจนกลิ่นหมด จึงเอาตะเกียงลงไปโรยตัวเข้าไป พบพระพุทธรูปย้อนยุค แผ่นไม้ชิงชันระบุว่าสมเด็จโตมาสร้างไว้ มีรูปเหมือนสมเด็จโตและดินเป็นก้อนๆมีพระสมเด็จอยู่ข้างในต้องเอาไปแช่น้ำถึงจะแกะพระสมเด็จออกมาได้ ยังเอาพระรูปเหมือนสมเด็จโต พระสมเด็จวัดกุฎีทองไปปล่อยให้เพื่อนอำนวยศิลป์เช่าและเอาพระสมเด็จวัดกูฎีทองไปให้พี่ชายเป็นนายทหาร-พันโทพัลลภ ปิ่นมณี (ยศในขณะนั้น)คุมกำลังรบที่เรียกกันว่ายุทธภูมิเขาค้อ ภูหินร่องกล้าแจกทหารที่ร่วมรบ น้อย-นพพรเล่าต่อว่า " ไปกับเตี่ยจำเนียรครั้งแรกประมาณ18.00น.ไม่มีใครรู้จัก ครั้งที่2ที่ไปยังนึกว่าเตี่ยฯโม้ คงเป็นเพราะบุญให้มาทำ เราเป็นตัวละครตัวหนึ่ง ทำไมตัวละครตัวนี้ต้องไปโผล่ วันนั้นเงินเดือน 1,700บาท ทำงานช่อง5 เงินทองก็ไม่ค่อยพอใช้ แฟนเป็นพยาบาลอยู่เวรดึก กว่าจะออกเวร5-6ทุ่ม ต้องนั่งรอเลยไปเรียนดูโหงวเฮ้งกับเตี่ย ทำให้ได้พบเจอเรื่องราวตามที่เล่าให้ฟัง"  น้อย-นพพรเล่าต่อว่า "ในฐานะที่เป็นน้องชายพันโทพัลลภ ปิ่นมณี (ยศในขณะนั้น) จึงได้ชวนพล.อ.ทวนทอง สุวรรณทัตและเดโช สวนานนท์ไปร่วมเปิดกรุ"  

ผมได้กลับไปวัดกุฎีทองอีกครั้ง ข้ามสะพานไปบ้านทางซ้ายมือเหมือนเดิม พบผู้ชายคนหนึ่งทราบชื่อว่า อาจารย์อนันต์ แสงสุวรรณ ครั้งแรกไม่ยอมพูดคุยด้วย พูดน้อยมาก มาเข้าจุดตอนพูดคุยเรื่องบอล ผมบอกว่าพ่อผมเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย ไปแข่งกีฬาโอลิมปิกครั้งที่16 ที่กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เป็นชุดแรกของประเทศไทย ยังมีภาพของผมตอนเด็กที่ถ่ายร่วมกับทีมตอนไปส่งที่สนามบินดอนเมือง สามารถดูได้ทางอินเทอร์เน็ต อาจารย์อนันต์ถามว่าเด็กที่ยืนอยู่ทางขวาของภาพนะ ผมบอกว่าใช่ อาจารย์อนันต์จำรูปนี้ติดตา เพราะอาจารย์ฯชอบฟุตบอลมากและเป็นโค้ชบอลโรงเรียนอยู่ จึงได้สนทนากัน

อาจารย์บอกแอบมองผมมานานแล้ว จำผมได้ว่ามาหลายครั้งแล้ว อาจารย์อนันต์ฟังผมเล่าเรื่องการพบกรุแตก ที่เพื่อนของผมในวัยเด็ก นพพร-น้อย ปิ่นมณี เล่าให้ฟังจนจบลง อาจารย์บอกว่า "เพื่อนคุณโกหกทั้งหมด" ทำเอาผมอึ้ง ทึ่ง เสร็จ เพราะอาจารย์เล่าว่า "ตอนนั้นประมาณปีพ.ศ.2516 ข้างหลังพระประธานเป็นป่า อาจารย์ถือเสียมไปเดินหามันมือเสือเพื่อไปขุดเอามากิน ไปยืนพักเหนื่อยอยู่หลังพระประธาน เอาด้ามเสียมไปกระทุ้งฐานใต้พระประธานเล่นๆ  ปรากฎปูนหลุดกระเทาะออกมา มุดเข้าไปดูใต้ฐานเป็นทราย เข้าไปยืนแบบที่เพื่อนคุณเล่าไม่ได้หรอก มองไม่เห็นอะไรเพราะมันมืด เลยไปบอกพระช่วย พระช่วยบอกให้เงียบไว้อย่าบอกให้ใครฟัง หลังจากนั้นพบพระพุทธรูป3องค์ เจอไหเก่าๆ เจอพระเก่ากอดกันกลมติดกับพื้นดิน ตอนนั้นหลวงตาหนมเจ้าอาวาส เพิ่งย้ายมาจากวัดธรรมิกราช ก็เอาพระที่เกาะกันกลมเอามาแช่น้ำในโอ่งมังกร มีพระอีกองค์ชื่อเชียร ตอนนั้นตายังไม่บอด" ต่อจากนั้นอาจารย์อนันต์พาผมไปดูพื้นโบสถ์เป็นท่อนไม้ซุงวางเป็นฐานซ้อนเรียงกันอยู่ใต้โบสถ์ ท่อนใหญ่โตมากแทนเสาเข็ม แล้วจะมุดเข้าไปได้อย่างไร โดยสามารถเปิดพื้นโบสถ์ออกดูได้ จนต่อมาประมาณปีพ.ศ.2519 มีชมรมสวดมนต์คาถาชินบัญชรศาลาแดงมาที่วัด มาทำการสวดมนต์กัน ต่อมาประมาณปีพ.ศ.2521 อาจารย์จำเนียร บัวสุวรรณ ซึ่งมีลูกสาวขายหมูอยู่ที่ตลาดฯ เข้ามาที่วัด นุ่งขาวห่มขาวมานั่งสมาธิทำพิธีต่างๆ ซึ่งอาจารย์อนันต์บอกว่า " ไม่ชอบการโกหกหลอกลวง ได้ไปต่อว่าหลวงตาหนม จนหลวงตาหนมไม่ให้ขึ้นวัด จริงคือจริง ไม่สนใจ ไม่กลัว เล็กใหญ่ไม่กลัว ดันไปหลอกลวงเขาได้อย่างไร" " พระพุทธรูป 3สมัยทำปลอม สั่งทำที่โรงหล่อ เอาพระสมเด็จอุดหลัง ร่วมมือกันทั้งหลวงตาหนม อาจารย์ มรรคทายก พวกการบินไทยหลงเชื่อมาทอดกฐินได้เงินเป็นล้าน ฝากลูกเข้าทำงาน ตอนหลังพวกการบินไทยรู้ความจริง พอเขาจับได้ เขาไม่มาเลย ไม่เคยมาเลย สาปแช่ง หลอกกันเป็นขบวนการ" "แต่กรรมก็ตามทันทุกคน หลวงตาหนม ต้องเจาะคอ ตาหนีท้องแตกตาย จำเนียรตายก่อน ตานงลูกๆก็ออกจากการบินไทยแล้ว"

ตอนที่อาจารย์อนันต์พบครั้งแรกนั้น เคยได้พบกับเจ้ากรมสรรพาวุธ ได้เอาพระสมเด็จไปให้ดู3องค์ ท่านเรียกนายทหารเข้ามาดู พอดูเสร็จนายทหารบอกท่านว่าเหมือนสมเด็จบางขุนพรหม เหมือนสมเด็จโตสร้างแล้วฝากกรุ เมื่อดูเสร็จแล้วท่านเจ้ากรมฯได้พาไปเลี้ยงข้าวในสโมสร แล้วถามว่า อนันต์มีอยู่กี่องค์ ตอบไปว่ามีอยู่22องค์  "เอาเท่าไหร่" "ไม่อยากตีราคา" "อยากให้ท่านช่วยปฏิสังขรณ์โบสถ์ เช่นใบระกา ซุ้มประตูหน้าบรรณให้ปิดทอง2ข้าง" ท่านเลยให้ช่างมาตีราคา ช่างบอก7แสน ต่อรองเหลือ5.5แสน แล้วก็จัดการทอดกฐิน แล้วอาจารย์อนันต์ก็มอบพระ22องค์ให้ท่านเจ้ากรมไป

อาจารย์อนันต์บอกว่า ที่บ้านไม่ค่อยคุยกับใคร แอบมองผมอยู่ เคยเห็นที่ไหนนะคนนี้ มีsenseอะไรสักอย่างจึงลงมาคุยด้วย ตระกูลของอาจารย์คุยกับคนยาก แล้วอาจารย์เล่าต่อว่า  "มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีคนบ้าไว้ผมยาว นุ่งห่มด้วยผ้าสีเหลืองมานอนตรงบริเวณศาลเจ้าทางเข้าบ้าน ไม่ค่อยกล้ามองหน้าใคร นั่งๆนอนๆอยู่แถวนั้น ด้วยความสงสารเลยเดินไปบอกว่า ไม่หิวข้าวเหรอ ถ้าหิวให้ไปหาที่บ้านได้นะ คนบ้าก็ไม่พูดด้วย จนวันที่สาม คนบ้ามาหาถึงบ้าน เลยเอาข้าวให้กินและจะกินน้ำในคลอง เลยเอาน้ำประปาให้กิน จากนั้นเป็นเดือน คนบ้าคนนั้นกลับมาหาพร้อมเปิดเผยตัว คือพตท.วิชิต วิเชียรฉาย ปลอมตัวมาสืบจับยาเสพติด

จากนันอาจารย์อนันต์เล่าต่อว่า "พระที่พบนั้นมีแค่พันถึงสองพันองค์เท่านั้น มีพระพิมพ์ศิลปขอม ที่เขาถือกันว่าน่าจะเป็นพิมพ์ที่หลวงปู่แสง อาจารย์ของสมเด็จโตสร้าง พระสมเด็จพิมพ์เส้นด้าย พระปางลีลา พระพิมพ์จันทร์ลอย พระสมเด็จคะแนนหลังเบี้ย พระสีวลี " จากนั้นผมได้ขออาจารย์อนันต์มาบูชา ซึ่งได้รับพระพิมพ์จันทร์ลอยมา 1องค์ พระสมเด็จคะแนนหลังเบี้ยมา 7องค์ พระปางลีลาไม่ได้มา เพราะอาจารย์บอกขอเก็บไว้บูชา

อ่านมาถึงตรงนี้ คิดอย่างไรครับ เรื่องราวในวงการพระเครื่อง มีจริงในปลอม มีปลอมในจริง


*****ตามล่าหาความจริงในปีพ.ศ.2551

ผมก็ยังไปกราบพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาเหมือนเดิม ครั้งนี้ท่านทำนายว่า " องค์ต่อไป จะเป็นพระเนื้อโลหะ แต่พุทธคุณไปทางเมตตาและโชคลาภ "ผมได้ไปพบผอ.อรรถภูมิ บุณยเกียรติ ผอ.เอาพระเหรียญเจ้าสัวให้ผมดู แล้วบอกเอากลับไปบ้านพิจารณาก็ได้ ผมส่องอยู่ที่บ้านคิดว่าราคาคงสูงแน่ ผอ.อรรถภูมิโทรเข้ามาหา ถามว่าสนใจไหม ถ้าสนใจให้โอนเงินมา 40,000บาท ก็ต้องโอนครับราคาเท่านี้ เพียงแต่นึกถึงพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมา นี่เป็นองค์แรกที่ท่านทำนายแล้วผมต้องใช้เงินเช่า

จากนั้นผมก็นำลูกน้องชื่อสุวิทย์ จุติประเสริฐไปพบท่าน สุวิทย์ก็ถามท่านว่า "พระองค์ต่อไป ที่หัวหน้าอมรจะได้อีก เป็นพิมพ์อะไร สีอะไร" ท่านตอบว่า "เป็นพิมพ์สมเด็จ สี่เหลี่ยม สีออกเหลืองๆ" ปรากฎว่าลูกค้ารายหนึ่งนำพระมามอบให้พร้อมบอกว่า เป็นพระของหลวงปู่หิน วัดระฆังสร้าง เนื้อสีเหลือง


*****ตามล่าหาความจริงในปีพ.ศ. 2552


ผมก็ยังไปกราบพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาเหมือนเดิม พอไปถึงท่านก็ทักว่า " ได้พระอะไรมาอีกละ่" ผมตอบไปว่า "ไม่เห็นได้อะไรเลยครับ" พอพูดจบนึกขึ้นได้ บอก "อ่อ ได้" ท่านบอกว่า "ยังไม่ต้องพูด เพราะที่ได้ เป็นพระบูชา มีขี้กรุจับที่องค์พระใช่ไหม" ถูกต้องเลยครับ เป็นพระที่ผอ.อรรถภูมิได้มาจากกรุวัดบางขุด สมุทรสงคราม หลวงพ่ออ้นเป็นผู้สร้าง ผมจึงถามท่านว่า "วิชาโหราศาสตร์มีทำนายอย่างนี้ด้วยเหรอ มันเป็นอย่างไรท่านถึงได้ทายถูกขนาดนี้ กับคนอื่นๆมีแบบผมบ้างหรือไม่" ท่านตอบว่า "เขียนเลขแล้ว เห็นตัวเลข เป็นไฟวาบๆขึ้นมา ก็เลยทำนายไป แต่ก็แปลกนะมีโยมอมรคนเดียวที่เป็นแบบนี้ คนอื่นๆมาหาก็ไม่มีแบบนี้ น่าจะเป็นเพราะโยมอมรสร้างมาก่อน เป็นบุญวาสนาเดิมของโยมอมร" ผมกลับมานั่งคิด พระท่านคงมาเตือนผมว่า อย่าทำชั่วนะ ให้ทำแต่ความดี








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น